การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้นและส่วนปลาย

หน้าหลัก / บทความ / การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้นและส่วนปลาย

การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้น
(Upper Gastrointestinal Endoscopy Esophagogastroduodenoscopy)

      – เทคนิคพิเศษที่จะตรวจหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้เล็กส่วนต้น โดยจะใช้กล้องที่มีลักษณะยาว เล็ก และโค้งงอได้ ซึ่งแพทย์จะใส่สายยางเล็กที่มีเลนส์และแสงไฟสว่างที่ปลาย ส่องกล้องเข้าทางปาก โดยภาพจะปรากฏบนจอโทรทัศน์ ให้คุณภาพคมชัด และชัดเจน แม่นยำมากกว่าการเอกซเรย์ และหลังจากส่องตรวจเสร็จสามารถทราบผลการตรวจได้ทันที
      – การส่องกล้องจะทำให้เห็นเยื่อบุกระเพาะ เพื่อดูการอักเสบ ดูแผลในกระเพาะ ดูเนื้องอก นอกจากนั้นยังสามารถตัดชิ้นเนื้อไปตรวจทางพยาธิวิทยา หาเซลล์มะเร็ง , เพาะเชื้อเพื่อหาเชื้อแบคทีเรีย ร่วมไปถึงการส่องกล้องเพื่อรักษาห้ามเลือดออกในทางเดินอาหารส่วนต้นได้

เพราะอะไรถึงต้องส่องกล่องตรวจทางเดินอาหารส่วนต้น ?

  แพทย์จะใช้การส่องกล้องเพื่อตรวจสาเหตุของโรคหรืออาการดังต่อไปนี้
      – ปวดท้องช่วงบนของท้อง ปวดบริเวณลิ้นปี่ ปวดเป็นๆหายๆ โดยเฉพาะในกรณีที่ปวดมานานกว่า 1-2 สัปดาห์
      – อาเจียนโดยที่ไม่ทราบสาเหตุ
      – กลืนอาหารลำบาก , จุกแน่นคอ
      – ท้องอืด มีลมในท้องมาก เรอบ่อย รับประทานอาหารได้น้อย หรืออาจมีอาการคลื่นไส้ หรืออาเจียนร่วมด้วย
      – เลือดออกทางเดินอาหาร : อาเจียนเป็นเลือด,ถ่ายอุจจาระมีสีดำหรือมีเลือดปนหรือโลหิตจางซึ่งอาจจะมีแผลเลือดออกในกระเพาะอาหารโดยอาจจะไม่มีอาการปวดท้องร่วมด้วย

ควรเตรียมตัวอย่างไรบ้างก่อนมาตรวจ ?

      1. ห้ามรับประทานอาหาร และดื่มน้ำทุกชนิดก่อนมารับการตรวจ อย่างน้อย 6-8 ชม. ก่อนตรวจ ทั้งนี้เพื่อให้แน่ใจว่ากระเพาะอาหารว่างเปล่า ซึ่งทำให้สามารถมองเห็นได้ชัดเจน และ       ป้องกันอันตรายที่เกิดจากการสำลักอาหารและน้ำเข้าไปในหลอดลมขณะที่กลืนกล้องลงสู่ลำคอและระหว่างส่องกล้อง
      2. ในรายที่มีฟันปลอมถอดได้ ต้องถอดออก หรือมีฟันโยกจะต้องแจ้งแพทย์ให้ทราบ เพื่อป้องกันการหลุดและอุดกลั้นทางเดินหายใจ
      3. แนะนำให้คนไข้ไม่ควรสวมเครื่องประดับติดตัวมา
      4. ควรมีญาติมาด้วย หากในรายที่แพทย์พิจารณาให้ฉีดยาคลายกังวลหลังจากตรวจไม่ควรขับรถด้วยตนเอง
      5. ถ้ามีโรคประจำตัว ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ ในบางกรณีแพทย์อาจจะพิจารณาให้งดยาละลายลิ่มเลือดก่อนส่องกล้อง อย่างน้อย 3-7 วัน

อะไรจะเกิดขึ้นบ้างกับตัวท่านบ้าง ขณะได้รับการตรวจ ?

    1. เมื่อถึงห้องตรวจผู้ป่วยจะได้รับการพ่นยาชาที่คอ สามารถกลืนลงไปได้เลยโดยไม่เป็นอันตราย ซึ่งจะทำให้ลำคอหมดความรู้สึกเจ็บชั่วคราว ประมาณครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง ผู้ป่วย       บางรายอาจจะรู้สึกแสบในลำคอช่วงแรกๆของการพ่นยา หากผู้ป่วยบางรายมีอาการหวาดกลัว กระสับกระส่าย แพทย์อาจจะต้องพิจารณาให้ยาคลายกังวล หรือยาแก้ปวดทางหลอดเลือดดำ
      2. ขณะส่องกล้องจะต้องให้นอนตะแคงซ้าย หลังจากจะใส่ที่กันกัดกล้องให้ผู้ป่วยกัดไว้ในปาก ซึ่งจะมีรูเปิดไว้สำหรับให้กล้องผ่านลงไปได้
      3. หลังจากนั้นแพทย์จะทำการส่องกล้อง โดยจะผ่านจากปากเข้าไปในลำคอ โดยผู้ป่วยจะต้องกลืนกล้อง เพื่อให้สู่หลอดอาหาร หากมีน้ำลายควรปล่อยไหลออกมา ห้ามกลืนเพราะอาจจะเกิดการสำลักได้ ซึ่งขณะส่องกล้องแนะนำให้ผู้ป่วยผ่อนลมหายใจเข้าออก เพื่อบรรเทาอาการแน่นอึดอัดท้อง จะใช้เวลาส่องตรวจประมาณ 10-15 นาที

การปฏิบัติตัวหลังได้รับการส่องตรวจ ?

      1. ผู้ป่วยจะรู้สึกเหมือนมีเสมหะติดอยู่ในลำคอ หรือรู้สึกหนาๆ ภายในลำคอ ซึ่งเป็นอาการที่เกิดจากฤทธิ์ของยาชา จะคงอยู่ประมาน15-30 นาที หลังจากหมดฤทธิ์ยาชาแล้ว อาการเหล่านี้จะค่อยๆหายไปเป็นปกติเช่นเดิมเอง
      2. ระหว่างคอชาอยู่ ให้บ้วนน้ำล้างปากได้ เพียงแต่อย่างรีบดื่มน้ำ หรือรับประทานอาหารเพื่อป้องกันการสำลัก
      3.หลังจากคอหายชาแล้วให้เริ่มจิบน้ำก่อน เพื่อทดสอบการกลืนว่าเป็นปกติหรือยัง จึงให้รับประทานอาหารได้ ควรเป็นอาหารอ่อนก่อน เพื่อให้สามารถกลืนได้ง่ายขึ้น ไม่ควรรับประทานอาหารร้อนจัดหรือเย็นจัด
      5. หากผู้ป่วยบางรายที่ได้รับยาฉีดเพื่อนอนหลับให้คลายกังวล อาจจะมีอาการง่วงอยู่จะต้องนอนพักฟื้นต่อสังเกตอาการรอให้ตื่นรู้สึกตัวดีก่อนประมาณ 90 นาที หากเห็นว่าปลอดภัยดีแล้วจึงจะฟังผลตรวจกับแพทย์ และจะให้ย้ายกลับหอผู้ป่วย หรือกลับบ้านได้
      6.สำหรับผู้ป่วยที่กลับบ้านได้ เมื่อกลับบ้านแล้วควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการรับประทานยาและอาหารให้ครบตามที่แพทย์สั่ง เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ ควรมารับการตรวจรักษาตามที่แพทย์นัดทุกครั้ง

ด้วยความห่วงใยจาก

วันเวลาทำการ
เปิดให้บริการ ทุกวันจันทร์ – อาทิตย์ เวลา 08:00 – 20:00 น.

หากท่านมีข้อสงสัยในอาการเจ็บป่วย หรือต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
ได้ทางช่องทางดังต่อไปนี้

Share: